ผ้ากันไฟสำหรับงานเชื่อม/เจียร ต้องมีลักษณะแบบไหนผ้ากันไฟสำหรับงานเชื่อม/เจียร หรือที่เรียกว่า "Welding Blanket" เป็นอุปกรณ์ความปลอดภัยที่สำคัญอย่างยิ่งสำหรับปกป้องบุคลากร, เครื่องจักร, อุปกรณ์, และสภาพแวดล้อมโดยรอบจากอันตรายที่เกิดจากสะเก็ดไฟ, ประกายไฟ, โลหะหลอมเหลว, และความร้อนสูงจากการเชื่อม ตัด หรือเจียรโลหะ
ลักษณะสำคัญของผ้ากันไฟสำหรับงานเชื่อม/เจียร ควรมีคุณสมบัติดังต่อไปนี้:
1. คุณสมบัติด้านความทนทานต่อความร้อนสูง
ทนอุณหภูมิสูง (High Temperature Resistance): เป็นคุณสมบัติหลักที่สำคัญที่สุด ผ้าต้องสามารถทนต่ออุณหภูมิที่สูงมากได้ โดยไม่ติดไฟ ไม่หลอมละลาย ไม่ยุบตัว หรือเสื่อมสภาพอย่างรวดเร็วเมื่อสัมผัสกับสะเก็ดไฟร้อนจัดหรือเปลวไฟ
งานเบา-ปานกลาง (Light to Medium Duty): มักใช้ผ้าใยแก้ว (Fiberglass) ที่ทนอุณหภูมิได้ประมาณ 550°C - 800°C
งานหนัก-อุณหภูมิสูงมาก (Heavy Duty/Extreme Temperature): อาจใช้ผ้าซิลิก้า (Silica Fabric) ซึ่งทนอุณหภูมิได้สูงถึง 1,000°C - 1,800°C หรือผ้าใยแก้วที่ผ่านการบำบัดพิเศษ
ไม่ติดไฟและไม่ลามไฟ (Non-Combustible & Flame Retardant): ผ้าต้องไม่เป็นเชื้อเพลิง และไม่ก่อให้เกิดการลามไฟเมื่อสัมผัสกับประกายไฟหรือเปลวไฟโดยตรง ควรดับเองได้ทันทีเมื่อแหล่งกำเนิดไฟถูกนำออกไป ควรผ่านการทดสอบตามมาตรฐานสากล เช่น NFPA 701, ASTM E84, BS 476, หรือ EN (Euroclass).
ทนต่อโลหะหลอมเหลว (Molten Metal Resistance): โดยเฉพาะผ้าสำหรับงานเชื่อมหนัก ต้องสามารถรับมือกับการกระเด็นของโลหะหลอมเหลวได้โดยไม่ทะลุหรือเสียหายง่าย
2. คุณสมบัติด้านความปลอดภัยและสุขภาพ
ปลอดแร่ใยหิน (Asbestos-Free): เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในปัจจุบัน เนื่องจากแร่ใยหินเป็นสารก่อมะเร็ง ผ้ากันไฟสมัยใหม่จะต้องระบุว่าปราศจากแร่ใยหิน 100%
ปล่อยควันและสารพิษต่ำ (Low Smoke & Toxicity Emission): เมื่อถูกความร้อนสูงหรือเกิดการเผาไหม้ (ในกรณีที่เกิดเหตุสุดวิสัย) ผ้าไม่ควรปล่อยควันหนาแน่นหรือก๊าซพิษที่เป็นอันตรายออกมามาก ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการอพยพหนีภัยและการทำงานของบุคลากร
ลดการระคายเคือง (Reduced Irritation): ผ้าใยแก้วดิบอาจก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิวหนังและระบบทางเดินหายใจ (อาการคัน) ดังนั้นผ้ากันไฟสำหรับงานเชื่อมส่วนใหญ่มักมีการ เคลือบผิว (Coating) ด้วยสารต่างๆ เช่น ซิลิโคน, โพลียูรีเทน (PU), หรือเวอร์มิคูไลต์ (Vermiculite) เพื่อให้ผิวเรียบขึ้น ลดการหลุดร่วงของใยผ้า และลดการระคายเคือง
3. คุณสมบัติด้านความทนทานและการใช้งาน
ความแข็งแรงต่อการฉีกขาดและการสึกหรอ (Tear & Abrasion Resistance): ในสภาพแวดล้อมการทำงานที่มีการเคลื่อนย้าย ลากถู หรือสัมผัสกับของมีคม ผ้าต้องมีความทนทานต่อการฉีกขาดและรอยขีดข่วน เพื่อให้มีอายุการใช้งานที่ยาวนาน
ความหนาและน้ำหนัก (Thickness & Weight):
ความหนา: ยิ่งหนา มักจะยิ่งป้องกันได้ดี แต่ก็มีน้ำหนักมากขึ้น
น้ำหนัก (Gram per Square Meter - GSM): น้ำหนักของผ้าต่อตารางเมตรบ่งบอกถึงความหนาแน่นและความแข็งแรง ควรเลือกน้ำหนักที่เหมาะสมกับงาน (เช่น งานเบาอาจใช้ 400-600 gsm, งานหนักอาจใช้ 800-1200 gsm ขึ้นไป)
ความยืดหยุ่น (Flexibility): ผ้าควรมีความยืดหยุ่นพอที่จะคลุมหรือพันรอบอุปกรณ์ที่มีรูปร่างซับซ้อนได้ง่าย
ทำความสะอาดง่าย (Easy to Clean): การทำความสะอาดสะเก็ดไฟที่ติดอยู่บนผ้าได้ง่าย จะช่วยยืดอายุการใช้งาน
มีห่วงตาไก่ (Grommets) หรือขอบเย็บ: เพื่อให้สามารถแขวน, ผูก, หรือยึดผ้ากับโครงสร้างได้ง่ายและมั่นคง
4. ประเภทของผ้ากันไฟที่นิยมใช้สำหรับงานเชื่อม/เจียร
ผ้าใยแก้ว (Fiberglass Fabric):
แบบไม่เคลือบ (Loomstate/Plain Fiberglass): ราคาถูกที่สุด, ทนความร้อนได้ดี, แต่มักคันและมีใยหลุดร่วงได้ง่าย เหมาะกับงานที่ไม่ต้องการการสัมผัสบ่อยนัก
แบบเคลือบซิลิโคน (Silicone Coated Fiberglass): ทนความร้อนได้ดี (จำกัดด้วยสารเคลือบ), ผิวเรียบ ลดอาการคัน, กันน้ำได้, มีความยืดหยุ่น เหมาะสำหรับงานทั่วไปถึงปานกลาง
แบบเคลือบเวอร์มิคูไลต์ (Vermiculite Coated Fiberglass): ช่วยเพิ่มความทนทานต่ออุณหภูมิและสะเก็ดไฟ
ผ้าซิลิก้า (Silica Fabric):
ทำจากใยซิลิก้าบริสุทธิ์สูง ทนอุณหภูมิได้สูงมาก (>1000°C), มีความยืดหยุ่นดี, มักไม่คันเท่าใยแก้วดิบ
เหมาะสำหรับงานเชื่อมหนัก, งานที่มีอุณหภูมิสูงมาก, หรือการป้องกันโลหะหลอมเหลว
สรุป: การเลือกผ้ากันไฟสำหรับงานเชื่อม/เจียร ต้องพิจารณาจาก ระดับความร้อนและชนิดของประกายไฟ ที่จะเกิดขึ้นเป็นหลัก จากนั้นจึงดูที่คุณสมบัติ ความปลอดภัย (ไม่ติดไฟ ไม่ลามควันพิษ ปลอดใยหิน) และ ความทนทาน ของผ้า เพื่อให้ได้ผ้าที่เหมาะสม ปลอดภัย และคุ้มค่ากับการลงทุนมากที่สุด